Posts tagged โรงเรียนวัดชลประทา

ทำไมต้องย้ายบ้าน(ร.ร.) เสียงเล็กๆจาก”เด็กโยธินบูรณะ”

“พวกหนูอยากรู้ว่า ทำไมต้องมาสร้างรัฐสภาบริเวณ ร.ร.โยธินบูรณะทำไมต้องอยากได้พื้นที่เกียกกาย เป็นเพียงที่พบปะ หารือ ประชุมถกเถียงกันในสภา ทำไมต้องสร้างรัฐสภาใหม่ ที่เก่าไม่ดีไง

ถ้าพวก ส.ส.ทำงานที่ใหม่แล้วจะทำให้ชาติพัฒนามากขึ้นกว่าเดิมหรือพวกท่านรับรองได้หรือไม่ว่าอนาคตของชาติ คุณภาพของโรงเรียน จะเป็นอย่างไรในสถานที่ใหม่ ทำไมไม่มีใครมาชี้แจง มาบอกพวกหนูบ้างว่า เหตุผลของพวกท่านคืออะไร แล้วที่สำคัญ ทำไมต้องเอาความต้องการของคนเพียง 400 คนมาแลกกับความเดือดร้อนของเด็กซึ่งจะเป็นผู้พัฒนาชาติในอนาคต 3,680 คน” เสียงเล็กๆของกลุ่มนักเรียน ร.ร.โยธินบูรณะร่วมสิบชีวิต ที่ไม่เห็นด้วย หากต้องย้ายที่ตั้งโรงเรียนออกไป เพื่อเป็นสถานที่ทำการรัฐสภาแห่งใหม่

เมื่อวันอังคารที่29 กรกฎาคม 2551 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่เลขาธิการรัฐสภาขอเพิ่มงบประมาณ4,027 ล้านบาท เพื่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่บริเวณย่านเกียกกายบนพื้นที่กว่า 119 ไร่ส่งผลให้ย้ายที่พักทหาร กรมราชองครักษ์ ไปอยู่ถนนศรีสมาน และย้าย ร.ร.โยธินบูรณะไปอยู่ที่วัดสร้อยทอง ห่างจากที่ตั้งเดิมประมาณ 2 กิโลเมตรทั้งหมดคือผลกระทบจากมติ ครม.

ขณะที่”เด็กโยธิน” บอกว่าพวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าต้องย้ายออกจากบ้าน (โรงเรียน) ที่ผูกพัน มีสายสัมพันธ์ความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องยาวนานถึง 73 ปีจะต้องถูกทุบ! แล้วไล่พวกเขาไปอยู่บ้านใหม่โดยไม่บอกล่วงหน้าหรือแม้กระทั่งถามสักคำว่าเขาอยากไปหรือไม่

เสียงเล็กๆจากเด็กโยธินคนหนึ่งบอกว่า ได้ยินชาวบ้านบอกว่าจะมีการทุบทิ้งสถานที่ต่างๆที่อยู่บนถนนเกียกกาย รวมทั้ง ร.ร.โยธินบูรณะ เพื่อสร้างเป็นรัฐสภาใหม่ เมื่อฟังก็ไม่เชื่อ เพราะไม่คิดว่า พวกผู้ใหญ่ที่อยู่ในรัฐสภาจะคิดอะไรที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ และฮุบเอาโรงเรียนของพวกเราไปเป็นเพียงสถานที่ประชุม หารือ ถกเถียงกันในสภา จากภาพที่เห็นพวกเห็นเราคือความน่าเบื่อหน่าย คนนั้นด่าคนโน้น คนโน้นด่าคนนี้

ซ้ำร้าย”นายมานพ นพศิริกุล” ผอ.ร.ร.โยธินบูรณะ ก็ไม่เคยออกมาชี้แจงบอกกล่าวเรื่องนี้แก่เด็ก เด็กทุกคนในโรงเรียนต้องรับรู้เรื่องของตัวเองจากสื่อหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และเมื่อรู้ก็อึ้งไปตามๆ กัน

“พวกผมไม่เข้าใจว่าทำไม ผอ.ไม่ออกมาชี้แจงบ้างว่าอะไรเป็นอะไรและทำไมถึงบอกสื่อมวลชนว่า ได้สอบถามนักเรียนแล้ว ทุกคนไม่มีปัญหา พร้อมที่จะย้ายโรงเรียน แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่ ผอ.พูดกับสื่อล้วนไม่เป็นความจริงเด็กประมาณ 90% ไม่มีใครเห็นด้วยที่จะย้าย ไม่มีใครมาสอบถามความคิดเห็นของพวกเรายิ่งช่วงเกิดเรื่องใหม่ๆ พี่ประธานนักเรียนได้เชิญนักข่าวมา เพื่อชี้แจ้งว่า นักเรียนโยธิบูรณะเห็นด้วยหรือไม่ ซึ่งเป็นการแสดงความคิดเห็นแบบประชาธิปไตย แต่สุดท้ายพี่ประธานนักเรียนโดนอาจารย์ตักเตือนไม่ให้ข่าว พร้อมบอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่เกี่ยว” เจ้าของบ้านที่ถูกผู้ใหญ่มองว่าไม่ควรมีปากมีเสียงกับเรื่องของตัวเองเล่า

ขณะที่อีกคนหนึ่งย้ำถามถึงสิ่งที่พวกเขาคาใจว่าพวกเราไม่รู้ว่าครูสอนความเป็นประชาธิปไตยให้ทำไม ในเมื่อเรื่องนี้เป็นตัวอย่างของความ “ไม่เป็นประชาธิปไตย” ที่เห็นได้ชัดเจน

“ไม่มีการทำประชาพิจารณ์ สอบถามความคิดเห็นของนักเรียน ที่เป็นเจ้าของบ้านคนหนึ่งอยู่ดีๆ จะมามัดมือ ปิดตาเจ้าของบ้าน แล้วสั่งให้เดินออกไปนั้น เรียกว่าประชาธิปไตยแล้วหรือ ทำไม พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้หรือ พวกเราก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่รัก ห่วงแหน ร.ร.โยธินบูรณะบ้านหลังที่2 ของพวกเราทำไมไม่ถามเราสักคำ” คำถามถึงบทเรียนเรื่องประชาธิปไตยที่เด็กโยธินฝากถึงผู้ใหญ่ของบ้านเมือง

แม้ร.ร.โยธินบูรณะมีพื้นที่เพียง9 ไร่แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แค่พื้นที่หรือตึกเรียน ที่สร้างขึ้นด้วยอิฐฉาบปูนเท่านั้น แต่สถาบันการศึกษาเลื่องชื่อแห่งนี้ ตราตรึงไปด้วยความรัก ความผูกพัน ห่วงใย ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ รุ่นน้อง หากย้ายไปแล้วที่แห่งใหม่จะดีเหมือนที่เดิมไหม หรือแม้กระทั่งเมื่อจบแล้ว หากกลับมาที่เดิม ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากคำตัดสินของผู้ใหญ่ ที่ไม่มีแม้คำอธิบายถึงเหตุผลอันควร จะทำลาย “เลือดชมพู-น้ำเงิน” ไปหรือไม่

ไม่เพียงเท่านั้นยังรวมถึงชุมชนที่พวกเขารัก เคยได้เล่น ได้เรียน เช่น สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติเกียกกาย ที่เคยนัดเตะบอล ซ้อมกีฬาสี เป็นแหล่งทำกิจกรรม เรียนรู้นอกห้องเรียนของพวกเขา ชุนชนที่อยู่อย่างสงบสุข ไม่ต้องกลัวม็อบขับไล่รัฐบาลมารุกรานพื้นที่ ไม่ต้องกลัวจะมีคนมาเผาหุ่น ไม่ต้องกลัวจราจรติดขัด

“ผมอยากเป็นสุภาพบุรุษเกียกกาย ไม่อยากเป็นสุภาพบุรุษสร้อยทอง เพราะไม่ใช่ว่าที่ตรงนั้นไม่ดี แต่พวกผม รุ่นพี่ รุ่นน้องต่างเติบโตบนพื้นที่เกียกกาย ทำไมไม่มีใครมาสอบถามความต้องการของพวกเราบ้างว่ารู้สึกอย่างไร ใครๆ ต่างบอกว่าเด็กเป็นอนาคตของชาติ แต่พวกท่านมาทำลายแหล่งศึกษาหาความรู้ของพวกเราทำไม ทำไมต้องเอางบประมาณมาสร้างใหม่ เพื่อสนองความต้องการของคนเพียงไม่กี่ร้อยคน เอางบประมาณตรงนี้ไปพัฒนาการศึกษาเด็กไทยให้ดีขึ้นไม่ดีกว่าหรือ” นักเรียนโยธินบูรณะคนหนึ่งระบุ

เหนืออื่นใดเยาวชนวัยใสกลุ่มนี้ อดน้อยใจไม่ได้ เพื่อเทียบเคียงกับ ผู้อำนายการ อาจารย์ นักเรียน ของโรงเรียนวัดชลประทาน ที่เป็น “น้ำหนึ่งใจเดียวกัน” รวมพลังต่อสู้ เพื่อรักษาโรงเรียนไว้ ไม่กลายเป็นที่สร้างรัฐสภาแห่งใหม่ และพวกเขาก็ทำสำเร็จ แต่ผู้อำนวยการ ครูอาจารย์ ของ ร.ร.โยธินบูรณะ มีเพียงเด็กนักเรียนเท่านั้นที่พยายามดิ้นรนต่อสู้

“ถ้าการย้ายโรงเรียนเป็นเพียงสนองความต้องการของคนเพียงไม่กี่คน ความรุนแรงก็คงเกิดขึ้น ไม่แน่ อาจเห็นนักเรียนโยธินบูรณะใส่ชุดคอซองไปยืนประท้วงหน้าโรงเรียนก็เป็นได้ ฝากผู้ใหญ่คนปัจจุบันให้รับฟังเสียงของคนในอนาคตของชาติบ้าง เพราะถ้าคนปัจจุบันไม่รับฟังเสียงของคนในอนาคต แล้วประเทศชาติจะเจริญได้อย่างไร”

นี่ไม่ใช่แค่คำขู่แต่อาจจะเกิดขึ้นจริงก็ได้ หาก “ผู้ใหญ่” ไม่เคยชี้แจงและไม่เคยรับฟังความคิดเห็น ของพวกเขาบ้างเลย! เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่การย้ายตึกเรียนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ควรจะบอกเสียงเล็กๆ เหล่านั้นว่า ทำไมย้ายบ้านหลังที่ 2 ของพวกเขา เพียงเพื่อความสะดวกต่อการเดินทางของผู้ใหญ่ ยุติธรรมแล้วหรือ!

Comments (6) »